การปลูกผักอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์ SM
การปลูกผักอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์
SM
ผัก
พืชผักเป็นพืชอาหารที่คนไทยนิยมนำมาใช้รับประทานกันมากเนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูง แต่ค่านิยมในการบริโภคผักนั้น มักจะเลือกบริโภคผักที่สวยงามไม่มีร่องรอยการทำลายของหนอนและแมลงศัตรูพืช จึงทำให้เกษตรกรที่ปลูกผักจะต้องใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลงฉีดพ่นในปริมาณที่มาก เพื่อให้ได้ผักที่สวยงามตามความต้องการของตลาด เมื่อผู้ซื้อนำมาบริโภคแล้วอาจได้รับอันตรายจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ในพืชผักนั้นได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวเกษตรกรจึงควรหันมา ทำการปลูกผักอินทรีย์ โดยนำเอาวิธีการทางชีวภาพหลากหลายวิธีมาประยุกต์ใช้ร่วมกันเพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเป็นการทดแทนการใช้สารเคมีเพื่อความปลอดภัยของเกษตรกร ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
พืชผักเป็นพืชอาหารที่คนไทยนิยมนำมาใช้รับประทานกันมากเนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูง แต่ค่านิยมในการบริโภคผักนั้น มักจะเลือกบริโภคผักที่สวยงามไม่มีร่องรอยการทำลายของหนอนและแมลงศัตรูพืช จึงทำให้เกษตรกรที่ปลูกผักจะต้องใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลงฉีดพ่นในปริมาณที่มาก เพื่อให้ได้ผักที่สวยงามตามความต้องการของตลาด เมื่อผู้ซื้อนำมาบริโภคแล้วอาจได้รับอันตรายจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ในพืชผักนั้นได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวเกษตรกรจึงควรหันมา ทำการปลูกผักอินทรีย์ โดยนำเอาวิธีการทางชีวภาพหลากหลายวิธีมาประยุกต์ใช้ร่วมกันเพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเป็นการทดแทนการใช้สารเคมีเพื่อความปลอดภัยของเกษตรกร ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
ผักมีอายุการเก็บเกี่ยวที่สั้นประมาณ 1 เดือน
หากเกษตรกรศึกษาเรียนรู้และลงมือปฏิบัติอย่างถูกวิธีและจริงจังแล้วก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
ทั้งผักอินทรีย์จะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่สามารถจะทำรายได้ให้เกษตรกรอย่างมากมายและมั่นคงอีกด้วย
ประเภทของการปลูกผักอินทรีย์
มี 2 ประเภทดังนี้
1 .การปลูกผักอินทรีย์กลางแจ้ง
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น ปัญหาและอุปสรรคหลักของการทำเกษตรอินทรีย์ก็คือเรื่องโรค
และแมลงศัตรูพืช ซึ่งแก้ไขได้ยากมาก ฉะนั้นการปลูกผักอินทรีย์กลางแจ้งจึงมักจะประสบ
ความสำเร็จยาก
2 .การปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือน
เป็นเทคโนโลยีการปลูกผักที่เน้นการการแก้ไขปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืชเป็นอันดับแรก
อันเป็นแนวทางที่จะทำการปลูกผักอินทรีย์ให้ประสบความสำเร็จได้ แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ชีวิตและสุขภาพของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคก็มีค่ามากกว่าใช่ไหมครับ
1 .การปลูกผักอินทรีย์กลางแจ้ง
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น ปัญหาและอุปสรรคหลักของการทำเกษตรอินทรีย์ก็คือเรื่องโรค
และแมลงศัตรูพืช ซึ่งแก้ไขได้ยากมาก ฉะนั้นการปลูกผักอินทรีย์กลางแจ้งจึงมักจะประสบ
ความสำเร็จยาก
2 .การปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือน
เป็นเทคโนโลยีการปลูกผักที่เน้นการการแก้ไขปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืชเป็นอันดับแรก
อันเป็นแนวทางที่จะทำการปลูกผักอินทรีย์ให้ประสบความสำเร็จได้ แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ชีวิตและสุขภาพของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคก็มีค่ามากกว่าใช่ไหมครับ
ดังนั้นในที่นี้จะขอแนะนำการปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือนซึ่งสามารถทำได้จริงและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
การปลูกผักอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์
SM
ปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นประกอบไปด้วย อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ทางการเกษตรกรรมมีการผลิตพืชเพื่อเป็นอาหารและยารักษาโรคที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เราจึงต้องให้ความสำคัญของอาหารมาเป็นอันดับแรก
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ การปลูกผักอินทรีย์เป็นวิถีเกษตรอีกทางหนึ่ง ที่ไม่ได้ใช้สารเคมีในการผลิตโดยเฉพาะการควบคุม และป้องกันศัตรูพืชเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง
ปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นประกอบไปด้วย อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ทางการเกษตรกรรมมีการผลิตพืชเพื่อเป็นอาหารและยารักษาโรคที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เราจึงต้องให้ความสำคัญของอาหารมาเป็นอันดับแรก
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ การปลูกผักอินทรีย์เป็นวิถีเกษตรอีกทางหนึ่ง ที่ไม่ได้ใช้สารเคมีในการผลิตโดยเฉพาะการควบคุม และป้องกันศัตรูพืชเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง
บทบาทสำคัญของจุลินทรีย์ในการปลูกผักอินทรีย์ก็คือ
1 .การผลิตปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อใช้เป็นธาตุอาหารพืชซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการทำเกษตร
อินทรีย์
2. การใช้จุลินทรีย์ ในการช่วยยับยั้ง ควบคุมการเกิดโรคพืชและการติดไวรัสของพืช ช่วยสร้าง
ภูมิคุ้มกันแก่พืชให้มีความแข็งแรงและเจริญเติบโตตามธรรมชาติ
3 .การใช้จุลินทรีย์ในการกำจัดแมลงศัตรูพืช
4 .การจัดการดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมในการปลูกพืช
- ทำให้ดินมีโครงสร้างดี มีลักษณะร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศดี
- ทำให้ดินมีความสามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารพืชสูงขึ้น จึงทำให้ประหยัดปุ๋ย
- ช่วยรักษาสภาพความเป็นกรด-ด่าง (ค่า pH) ของดินไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- เปลี่ยนรูปธาตุอาหารในดินให้พืชดูดกินได้เร็วขึ้น
1 .การผลิตปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อใช้เป็นธาตุอาหารพืชซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการทำเกษตร
อินทรีย์
2. การใช้จุลินทรีย์ ในการช่วยยับยั้ง ควบคุมการเกิดโรคพืชและการติดไวรัสของพืช ช่วยสร้าง
ภูมิคุ้มกันแก่พืชให้มีความแข็งแรงและเจริญเติบโตตามธรรมชาติ
3 .การใช้จุลินทรีย์ในการกำจัดแมลงศัตรูพืช
4 .การจัดการดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมในการปลูกพืช
- ทำให้ดินมีโครงสร้างดี มีลักษณะร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศดี
- ทำให้ดินมีความสามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารพืชสูงขึ้น จึงทำให้ประหยัดปุ๋ย
- ช่วยรักษาสภาพความเป็นกรด-ด่าง (ค่า pH) ของดินไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- เปลี่ยนรูปธาตุอาหารในดินให้พืชดูดกินได้เร็วขึ้น
จุดประสงค์
-
เพื่อผลิตพืชที่ปลอดสารเคมี ปลอดสารพิษตกค้าง
-
เพื่อผลิตพืชที่มีประโยชน์ทางโภชนาการ
-
เพื่อลดต้นทุนในการผลิต
-
เพื่อการทำเกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืน
ปัจจัยสำคัญของการปลูกผักอินทรีย์
-
ปุ๋ย
-
ดิน
-
น้ำ
-
อากาศ อุณหภูมิและแสงแดด
-
โรคและศัตรูพืช
-
พันธุ์พืช
อธิบายความ
1. ปุ๋ย
เราจะให้ความสำคัญของปุ๋ยอินทรีย์มาเป็นอันดับแรก ปัญหาของเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านมาก็คือเรื่องปุ๋ย ธาตุอาหารพืช เพราะในปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารพืชน้อย ต้องใช้ในปริมาณที่มาก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน เกษตรกรขาดความรู้เรื่องปุ๋ยอินทรีย์อย่างแท้จริง ทำให้ในระบบการผลิตพืชผักจะโตช้าและได้ผลผลิตมีคุณภาพต่ำไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมี
เทคโนโลยีทางชีวภาพการใช้จุลินทรีย์SMสามารถแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี ดังนี้
: เราสามารถใช้จุลินทรีย์SMในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐาน ได้ในระยะเวลาอันสั้นเพียง 7-10 วัน คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐานที่สำคัญก็คือการย่อยสลายที่สมบูรณ์ เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารพืชอยู่ในรูปที่พร้อมใช้ พืชสามารถดูดกินได้ทันที จึงจะทำให้พืชผักโตเร็วและมีคุณภาพดีได้ เพราะได้ธาตุอาหารพืชครบ รวมทั้งฮอร์โมนพืชอีกด้วย
: เมื่อเกษตรกรสามารถทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ได้เองทั้งปุ๋ยหมักผง และปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพแล้ว ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีต้นทุนที่ต่ำ ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้เป็นอย่างมาก
เราจะให้ความสำคัญของปุ๋ยอินทรีย์มาเป็นอันดับแรก ปัญหาของเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านมาก็คือเรื่องปุ๋ย ธาตุอาหารพืช เพราะในปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารพืชน้อย ต้องใช้ในปริมาณที่มาก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน เกษตรกรขาดความรู้เรื่องปุ๋ยอินทรีย์อย่างแท้จริง ทำให้ในระบบการผลิตพืชผักจะโตช้าและได้ผลผลิตมีคุณภาพต่ำไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมี
เทคโนโลยีทางชีวภาพการใช้จุลินทรีย์SMสามารถแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี ดังนี้
: เราสามารถใช้จุลินทรีย์SMในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐาน ได้ในระยะเวลาอันสั้นเพียง 7-10 วัน คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐานที่สำคัญก็คือการย่อยสลายที่สมบูรณ์ เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารพืชอยู่ในรูปที่พร้อมใช้ พืชสามารถดูดกินได้ทันที จึงจะทำให้พืชผักโตเร็วและมีคุณภาพดีได้ เพราะได้ธาตุอาหารพืชครบ รวมทั้งฮอร์โมนพืชอีกด้วย
: เมื่อเกษตรกรสามารถทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ได้เองทั้งปุ๋ยหมักผง และปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพแล้ว ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีต้นทุนที่ต่ำ ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้เป็นอย่างมาก
คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐานที่เหมาะกับการปลูกผัก
ปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐาน กรมวิชาการเกษตร
ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยจะต้องผ่านการย่อยสลายอย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์เท่านั้น
คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ พ.ศ. 2551
1. ปริมาณอินทรียวัตถุ ไม่น้อยกว่า 20 % โดยน้ำหนัก
2. ค่าความเป็นกรด-ด่าง ( pH) 5.5 – 8.5
3. อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N) ไม่เกิน 20 / 1
4. ค่าการนำไฟฟ้า ( EC : Electrical Conductivity) ไม่เกิน 10 เดซิซีเมน/เมตร
5. ปริมาณธาตุอาหารหลัก N ไม่น้อยกว่า 1.0 % โดย น.น.
P ไม่น้อยกว่า 0.5 % โดย น.น.
K ไม่น้อยกว่า 0.5 % โดย น.น.
6. การย่อยสลายสลายที่สมบูรณ์ มากกว่า 80 %
7. ปริมาณความชื้นและสิ่งที่ระเหยได้ ไม่เกิน 30 % โดยน.น.
8. ปริมาณเกลือ ไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์
คำอธิบาย
1. ปริมาณอินทรียวัตถุ ( Organic Matter ) ค่า OM ทดสอบว่าปุ๋ยอินทรีย์นั้นผลิตมาจากวัสดุอินทรีย์ล้วนๆหรือมีดินผสมมา
2. ค่าความเป็นกรด-ด่าง ( pH) อยู่ระหว่าง 5.5 – 8.5 ซึ่งเป็นระดับที่เป็นประโยชน์กับพืชมากที่สุด ซึ่งเมื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไปในดินจะไม่เพิ่มความเป็นกรดให้กับดิน ซึ่งถ้าดินมีความเป็นกรดสูงธาตุ P และ K จะถูกตรึงไว้ พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้จึงขาดธาตุอาหารดังกล่าว
3. อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N) ไม่เกิน 20 / 1 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่บอกคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์นั้นว่ามีการย่อยสลายที่สมบูรณ์แล้ว เมื่อใส่ลงไปในดินแล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อพืชปุ๋ยนั้นจะไม่ถูกย่อยสลายต่อด้วยจุลินทรีย์ดินอีก เพราะการที่ปุ๋ยย่อยสลายต่อจะทำให้สูญเสียธาตุไนโตรเจนที่มีอยู่ในดินออกไป ทำให้ดินขาดธาตุในโตรเจน
4. ค่าการนำไฟฟ้า ( EC : Electrical Conductivity) ไม่เกิน 10 เดซิซีเมน/เมตร แสดงถึงความเข้มข้นของปุ๋ยหรือความเค็มของปุ๋ย( ภาษาปุ๋ย ) ซึ่งถ้าความเข้มข้นสูงเกินไปจะทำให้ปุ๋ยเป็นอันตรายต่อพืช เพราะพืชจะไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้
6. การย่อยสลายสลายที่สมบูรณ์มากกว่า 80 % ซึ่งเป็นการทดสอบคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ โดยการวัดจากค่า GI - ค่าเปอร์เซ็นต์การงอกของการเพาะเมล็ด ซึ่งถ้าค่า GI สูง มีเปอร์เซนต์การงอกของการเพาะเมล็ดสูงก็แสดงว่าปุ๋ยอินทรีย์นั้นผ่านการย่อยสลายที่สมบูรณ์ด้วยจุลินทรีย์แล้ว เมื่อนำปุ๋ยไปใช้จะทำให้พืชกินปุ๋ยได้เร็ว พืชจึงเจริญเติบโตเร็ว
8. ปริมาณเกลือไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ความเค็มจากเกลือจะทำให้เกิดความเข้มข้นในสารละลายภายนอกรากพืชสูงกว่าภายในรากพืช พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารเข้าไปทางรากได้ ( ระบบ Osmosis ) พืชจะเฉาตาย
สรุป
เมื่อเกษตรกรสามารถเรียนรู้และจัดการเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ได้เป็นอย่างดีแล้ว การทำเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ปุ๋ยอินทรีย์มาตรฐาน กรมวิชาการเกษตร
ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยจะต้องผ่านการย่อยสลายอย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์เท่านั้น
คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ พ.ศ. 2551
1. ปริมาณอินทรียวัตถุ ไม่น้อยกว่า 20 % โดยน้ำหนัก
2. ค่าความเป็นกรด-ด่าง ( pH) 5.5 – 8.5
3. อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N) ไม่เกิน 20 / 1
4. ค่าการนำไฟฟ้า ( EC : Electrical Conductivity) ไม่เกิน 10 เดซิซีเมน/เมตร
5. ปริมาณธาตุอาหารหลัก N ไม่น้อยกว่า 1.0 % โดย น.น.
P ไม่น้อยกว่า 0.5 % โดย น.น.
K ไม่น้อยกว่า 0.5 % โดย น.น.
6. การย่อยสลายสลายที่สมบูรณ์ มากกว่า 80 %
7. ปริมาณความชื้นและสิ่งที่ระเหยได้ ไม่เกิน 30 % โดยน.น.
8. ปริมาณเกลือ ไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์
คำอธิบาย
1. ปริมาณอินทรียวัตถุ ( Organic Matter ) ค่า OM ทดสอบว่าปุ๋ยอินทรีย์นั้นผลิตมาจากวัสดุอินทรีย์ล้วนๆหรือมีดินผสมมา
2. ค่าความเป็นกรด-ด่าง ( pH) อยู่ระหว่าง 5.5 – 8.5 ซึ่งเป็นระดับที่เป็นประโยชน์กับพืชมากที่สุด ซึ่งเมื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไปในดินจะไม่เพิ่มความเป็นกรดให้กับดิน ซึ่งถ้าดินมีความเป็นกรดสูงธาตุ P และ K จะถูกตรึงไว้ พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้จึงขาดธาตุอาหารดังกล่าว
3. อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N) ไม่เกิน 20 / 1 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่บอกคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์นั้นว่ามีการย่อยสลายที่สมบูรณ์แล้ว เมื่อใส่ลงไปในดินแล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อพืชปุ๋ยนั้นจะไม่ถูกย่อยสลายต่อด้วยจุลินทรีย์ดินอีก เพราะการที่ปุ๋ยย่อยสลายต่อจะทำให้สูญเสียธาตุไนโตรเจนที่มีอยู่ในดินออกไป ทำให้ดินขาดธาตุในโตรเจน
4. ค่าการนำไฟฟ้า ( EC : Electrical Conductivity) ไม่เกิน 10 เดซิซีเมน/เมตร แสดงถึงความเข้มข้นของปุ๋ยหรือความเค็มของปุ๋ย( ภาษาปุ๋ย ) ซึ่งถ้าความเข้มข้นสูงเกินไปจะทำให้ปุ๋ยเป็นอันตรายต่อพืช เพราะพืชจะไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้
6. การย่อยสลายสลายที่สมบูรณ์มากกว่า 80 % ซึ่งเป็นการทดสอบคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์ โดยการวัดจากค่า GI - ค่าเปอร์เซ็นต์การงอกของการเพาะเมล็ด ซึ่งถ้าค่า GI สูง มีเปอร์เซนต์การงอกของการเพาะเมล็ดสูงก็แสดงว่าปุ๋ยอินทรีย์นั้นผ่านการย่อยสลายที่สมบูรณ์ด้วยจุลินทรีย์แล้ว เมื่อนำปุ๋ยไปใช้จะทำให้พืชกินปุ๋ยได้เร็ว พืชจึงเจริญเติบโตเร็ว
8. ปริมาณเกลือไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ความเค็มจากเกลือจะทำให้เกิดความเข้มข้นในสารละลายภายนอกรากพืชสูงกว่าภายในรากพืช พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารเข้าไปทางรากได้ ( ระบบ Osmosis ) พืชจะเฉาตาย
สรุป
เมื่อเกษตรกรสามารถเรียนรู้และจัดการเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ได้เป็นอย่างดีแล้ว การทำเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
2
.ดิน
การจัดการเรื่องดินเราจะเน้นถึงเรื่องปุ๋ยอินทรีย์และอินทรียวัตถุเป็นสำคัญ
คุณสมบัติของดินที่เหมาะสำหรับการปลูกผักมีดังนี้
: ดินที่มีโครงสร้างดี มีลักษณะร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศดี
: ดินมีความสามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารพืชสูง
: ดินมีสภาพความเป็นกรด-ด่าง (ค่า pH) ของดินอยู่ระหว่าง 5.5 -7
: ดินมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารและฮอร์โมนพืช อีกทั้งอินทรียวัตถุ
: ดินที่สะอาดปราศจากโรคพืชและวัชพืช
การจัดการ
: โครงสร้างของดินที่เหมาะกับการปลูกผัก
ดินที่ประกอบด้วย
: ดินร่วนปนทราย
: อินทรียวัตถุเช่น ขุยมะพร้าว แกลบดำ
: และที่สำคัญปุ๋ยหมักที่ได้มาตรฐาน ปุ๋ยหมักผงและปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพปลา
: เมื่อดินเป็นกรดสูงมีค่าpHต่ำ จะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องเชื้อโรคพืชตามมาคือเชื้อราที่ก่อให้เกิด
โรครากเน่า โคนเน่า เราสามารถแก้ไขดินกรดได้โดยการใช้ผงแร่สารบำรุงดิน SM ปรับค่าpH
ของดินให้เป็นกลาง
: การใช้จุลินทรีย์SMปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินมีชีวิต ช่วยป้องกันและควบคุมการเกิดเชื้อ
โรคพืช
สรุป
เมื่อเกษตรกรมีความรู้และสามารถจัดการเรื่องดินได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วถึง 80 %
3. น้ำ
น้ำก็เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งของการปลูกผัก แหล่งปลูกผักจะต้องมีน้ำอย่างพอเพียง ตลอดเวลา เพราะผักต้องการน้ำตลอดเวลาขาดไม่ได้ ถ้าขาดผักจะเหี่ยวเฉา สะดุดการเจริญเติบโต
คุณสมบัติของน้ำที่เหมาะสมกับการปลูกผัก
: เป็นน้ำที่สะอาด ปราศจากสารเคมีและเชื้อโรค
: ค่าpHอยู่ระหว่าง 5.5 – 7
การจัดการ
1. มีบ่อเก็บน้ำหรือถังพักน้ำเพื่อดูแลรักษาน้ำได้
2. การปรับค่าpHของน้ำในกรณีที่น้ำเป็นกรดโดยใช้ผงแร่สารบำรุงดิน SM ปรับค่าpHให้เป็นกลาง
3. ใช้น้ำรักษาระดับความชื้นและอุณหภูมิของดินที่ปลูกผักให้เหมาะสมตลอดเวลา
สรุป
การมีแหล่งน้ำที่สะอาดและเพียงพอตลอดเวลา จะทำให้เกษตรกรสามารถปลูกผักได้ทั้งปี
การจัดการเรื่องดินเราจะเน้นถึงเรื่องปุ๋ยอินทรีย์และอินทรียวัตถุเป็นสำคัญ
คุณสมบัติของดินที่เหมาะสำหรับการปลูกผักมีดังนี้
: ดินที่มีโครงสร้างดี มีลักษณะร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศดี
: ดินมีความสามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารพืชสูง
: ดินมีสภาพความเป็นกรด-ด่าง (ค่า pH) ของดินอยู่ระหว่าง 5.5 -7
: ดินมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารและฮอร์โมนพืช อีกทั้งอินทรียวัตถุ
: ดินที่สะอาดปราศจากโรคพืชและวัชพืช
การจัดการ
: โครงสร้างของดินที่เหมาะกับการปลูกผัก
ดินที่ประกอบด้วย
: ดินร่วนปนทราย
: อินทรียวัตถุเช่น ขุยมะพร้าว แกลบดำ
: และที่สำคัญปุ๋ยหมักที่ได้มาตรฐาน ปุ๋ยหมักผงและปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพปลา
: เมื่อดินเป็นกรดสูงมีค่าpHต่ำ จะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องเชื้อโรคพืชตามมาคือเชื้อราที่ก่อให้เกิด
โรครากเน่า โคนเน่า เราสามารถแก้ไขดินกรดได้โดยการใช้ผงแร่สารบำรุงดิน SM ปรับค่าpH
ของดินให้เป็นกลาง
: การใช้จุลินทรีย์SMปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินมีชีวิต ช่วยป้องกันและควบคุมการเกิดเชื้อ
โรคพืช
สรุป
เมื่อเกษตรกรมีความรู้และสามารถจัดการเรื่องดินได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วถึง 80 %
3. น้ำ
น้ำก็เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งของการปลูกผัก แหล่งปลูกผักจะต้องมีน้ำอย่างพอเพียง ตลอดเวลา เพราะผักต้องการน้ำตลอดเวลาขาดไม่ได้ ถ้าขาดผักจะเหี่ยวเฉา สะดุดการเจริญเติบโต
คุณสมบัติของน้ำที่เหมาะสมกับการปลูกผัก
: เป็นน้ำที่สะอาด ปราศจากสารเคมีและเชื้อโรค
: ค่าpHอยู่ระหว่าง 5.5 – 7
การจัดการ
1. มีบ่อเก็บน้ำหรือถังพักน้ำเพื่อดูแลรักษาน้ำได้
2. การปรับค่าpHของน้ำในกรณีที่น้ำเป็นกรดโดยใช้ผงแร่สารบำรุงดิน SM ปรับค่าpHให้เป็นกลาง
3. ใช้น้ำรักษาระดับความชื้นและอุณหภูมิของดินที่ปลูกผักให้เหมาะสมตลอดเวลา
สรุป
การมีแหล่งน้ำที่สะอาดและเพียงพอตลอดเวลา จะทำให้เกษตรกรสามารถปลูกผักได้ทั้งปี
4. อากาศ อุณหภูมิและแสงแดด
อุณหภูมิที่เหมาะแก่การปลูกผักไม่ควรเกิน 30 องศาเซลเซียส
การจัดการ
การปลูกผักในโรงเรือนเราสามารถปรับแสงและอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการปลูกผักแต่ละชนิดและช่วงเวลาการปลูกได้
อุณหภูมิที่เหมาะแก่การปลูกผักไม่ควรเกิน 30 องศาเซลเซียส
การจัดการ
การปลูกผักในโรงเรือนเราสามารถปรับแสงและอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการปลูกผักแต่ละชนิดและช่วงเวลาการปลูกได้
5. โรคและแมลงศัตรูพืช
ปัญหาเรื่องโรคและแมลงมีน้อยมากเพราะได้รับการป้องกันไว้แล้ว หากมีเกิดขึ้นก็เพียง 5 % เท่านั้น
: โรคของพืชผัก ได้แก่ โรคจากเชื้อรา เช่นโรครากเน่า โคนเน่า
: แมลงศัตรูพืช ได้แก่ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และหนอนศัตรูผักต่างๆ
การจัดการ
: โรคพืช ใช้จุลินทรีย์ SM ในการควบคุมตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดินปลูก
: หนอนและแมลงศัตรูพืช ใช้เชื้อจุลินทรีย์ BT ในการกำจัดเมื่อเกิดการระบาด
ปัญหาเรื่องโรคและแมลงมีน้อยมากเพราะได้รับการป้องกันไว้แล้ว หากมีเกิดขึ้นก็เพียง 5 % เท่านั้น
: โรคของพืชผัก ได้แก่ โรคจากเชื้อรา เช่นโรครากเน่า โคนเน่า
: แมลงศัตรูพืช ได้แก่ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และหนอนศัตรูผักต่างๆ
การจัดการ
: โรคพืช ใช้จุลินทรีย์ SM ในการควบคุมตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดินปลูก
: หนอนและแมลงศัตรูพืช ใช้เชื้อจุลินทรีย์ BT ในการกำจัดเมื่อเกิดการระบาด
6 .พันธุ์ผัก
ปัจจุบันพันธุ์พืชผักมีจำหน่ายอย่างมากมายและสะดวกในการซื้อหา แต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขยายพันธุ์มาใช้ต่อได้เพราะถูกทำให้เป็นหมัน ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกครั้งที่จะทำการเพาะปลูก
การเลือกเมล็ดพันธุ์พืชผักที่จะปลูกก็ขึ้นกับประเภทการปลูก แหล่งปลูก สภาพสิ่งแวดล้อม และฤดูกาลระหว่างการปลูก เลือกเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสมที่สุด จะได้ประหยัดทั้งต้นทุนและเวลาในการเพาะปลูก
ปัจจุบันพันธุ์พืชผักมีจำหน่ายอย่างมากมายและสะดวกในการซื้อหา แต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขยายพันธุ์มาใช้ต่อได้เพราะถูกทำให้เป็นหมัน ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกครั้งที่จะทำการเพาะปลูก
การเลือกเมล็ดพันธุ์พืชผักที่จะปลูกก็ขึ้นกับประเภทการปลูก แหล่งปลูก สภาพสิ่งแวดล้อม และฤดูกาลระหว่างการปลูก เลือกเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสมที่สุด จะได้ประหยัดทั้งต้นทุนและเวลาในการเพาะปลูก
การจัดอันดับความสำคัญของปัจจัยการผลิตผักอินทรีย์
มีดังนี้
1 .ปุ๋ยอินทรีย์
2 .ดิน ดินปลูก วัสดุดินปลูก วัสดุเพาะกล้า
3 .น้ำ
4 .อากาศ อุณหภูมิและแสงแดด
5 .โรคและศัตรูพืช
6 .พันธุ์ผัก
1 .ปุ๋ยอินทรีย์
2 .ดิน ดินปลูก วัสดุดินปลูก วัสดุเพาะกล้า
3 .น้ำ
4 .อากาศ อุณหภูมิและแสงแดด
5 .โรคและศัตรูพืช
6 .พันธุ์ผัก
สรุป
หากเกษตรกรศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติในเรื่องการจัดการเรื่องปุ๋ยและดินปลูกผักได้อย่างถูกต้องแล้ว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วกว่า 80 %ครับ
หากเกษตรกรศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติในเรื่องการจัดการเรื่องปุ๋ยและดินปลูกผักได้อย่างถูกต้องแล้ว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วกว่า 80 %ครับ
ตัวอย่างการปลูกผักในโรงเรือนของคลีนฟาร์ม
จังหวัดสระบุรี
ภาพที่ 1
ภาพที่ 2
ภาพที่ 3
ภาพที่ 4
ภาพที่ 5
สนใจการปลูกผักในโรงเรือนและรายละเอียดเพิ่มเติม 089-8159559
นางสาววรรณวิลาส ทิพย์มลสวัสดิ์ 5806401064
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น